Archives 2023

ออกแบบก่อสร้าง

ออกแบบก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถทำอย่างไรได้บ้าง?

การออกแบบก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง การออกแบบและก่อสร้างอาคารหรือโครงสร้างต่างๆ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์การใช้งาน สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม และคุ้มค่าต่อการลงทุน การออกแบบก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้ 

1.ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด

ก่อนเริ่มการออกแบบก่อสร้าง ควรศึกษาข้อมูลต่างๆ ให้ละเอียดรอบคอบ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุประสงค์การใช้งาน ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ข้อมูลเกี่ยวกับงบประมาณ เป็นต้น ข้อมูลที่ศึกษาอย่างละเอียดจะช่วยให้การออกแบบก่อสร้างมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2.ออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งาน

การออกแบบก่อสร้างควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์การใช้งานเป็นหลัก เพื่อให้อาคารหรือโครงสร้างสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากที่สุด เช่น การออกแบบอาคารสำนักงานควรคำนึงถึงพื้นที่ใช้สอยและระบบการทำงาน เป็นต้น

3.คำนึงถึงสภาพแวดล้อม

การออกแบบก่อสร้างควรคำนึงถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบ เช่น ทิศทางลม ระดับน้ำใต้ดิน เป็นต้น เพื่อให้อาคารหรือโครงสร้างสามารถอยู่ได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย

4.เลือกใช้วัสดุและอุปกรณ์ที่เหมาะสม

การเลือกวัสดุและอุปกรณ์ที่เหมาะสมจะช่วยให้อาคารหรือโครงสร้างมีความแข็งแรง ทนทาน และประหยัดพลังงาน เช่น การเลือกวัสดุกันความร้อนจะช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้า เป็นต้น

5.ควบคุมการก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ

ในระหว่างการก่อสร้าง ควรควบคุมการก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เป็นไปตามแบบแปลนและมาตรฐานที่กำหนดไว้

ตัวอย่างการออกแบบก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างการออกแบบก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น

  • การออกแบบอาคารสำนักงานให้มีพื้นที่ใช้สอยที่เหมาะสมและเพียงพอกับจำนวนพนักงาน
  • การออกแบบโรงงานอุตสาหกรรมให้คำนึงถึงทิศทางลมและระดับน้ำใต้ดิน เพื่อลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุและมลพิษ
  • การออกแบบบ้านเรือนให้เลือกใช้วัสดุกันความร้อนและวัสดุประหยัดพลังงาน เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน

ประโยชน์ของการออกแบบก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ

การออกแบบก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพมีประโยชน์หลายประการ ดังนี้

  • ช่วยลดต้นทุนการก่อสร้าง
  • ช่วยให้อาคารหรือโครงสร้างมีความแข็งแรง ทนทาน และปลอดภัย
  • ช่วยให้อาคารหรือโครงสร้างสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า
  • ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

การออกแบบก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้อาคารหรือโครงสร้างต่างๆ มีคุณภาพและคุ้มค่าต่อการลงทุน

เทรด forex

ความรู้ก่อน เทรด forex สำคัญมาก!  

การซื้อขายฟอเร็กซ์ หรือที่เรียกว่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือการซื้อขาย FX คือการซื้อและขายสกุลเงินในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายในการทำกำไร เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุด และมีสภาพคล่องมากที่สุดในโลก โดยการ เทรด forex มีปริมาณการซื้อขายรายวันเกินกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์ 

พื้นฐานของการซื้อขาย เทรด forex 

การซื้อขายฟอเร็กซ์ คือ การแลกเปลี่ยนสกุลเงินหนึ่งไปยังอีกสกุลเงินหนึ่ง โดยซื้อขายเป็นคู่ คู่สกุลเงินแต่ละคู่ประกอบด้วยสกุลเงินหลักและสกุลเงินอ้างอิง คู่สกุลเงินหลัก ได้แก่ สกุลเงินที่มีการซื้อขายกันอย่างแพร่หลาย เช่น ดอลลาร์สหรัฐ (USD), ยูโร (EUR), เยนญี่ปุ่น (JPY) และปอนด์อังกฤษ (GBP) 

การซื้อและการขาย 

  • การเปิดสถานะ Long: หากเทรดเดอร์คเก็งว่า สกุลเงินหลักจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง ก็จะจะซื้อคู่สกุลเงินโดยคาดว่าจะได้กำไร 
  • การเปิดสถานะ Short: หากเทรดเดอร์คิดว่าสกุลเงินหลักจะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง ก็ จะขายคู่สกุลเงินดังกล่าวโดยหวังว่าจะซื้อกลับในภายหลังในราคาที่ต่ำกว่า 

ธนาคารและสถาบันการเงิน: 

ธนาคารกลาง ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินอื่น ๆ เข้าร่วมลงทุนในตลาดฟอเร็กซ์เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ รวมถึงการจัดการทุนสำรองสกุลเงิน และอำนวยความสะดวกในการค้าระหว่างประเทศด้วย นอกจากนี้บริษัทที่มีส่วนร่วมในการค้าระหว่างประเทศ อาจลงทุนในตลาดฟอเร็กซ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 

ความเสี่ยงและความท้าทายในการลงทุน ในการ เทรด forex  

ความผันผวนของตลาดสิ่งที่คุณต้องรู้ ตลาดฟอเร็กซ์เป็นตลาดที่มีความผันผวนสูงมาก โดยราคาจะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การประกาศข่าวทางเศรษฐกิจ กิจกรรมทางการเมือง และสภาวะเศรษฐกิจโลก ถึงแม้ว่าเลเวอเรจจะช่วยเพิ่มผลกำไรได้ แต่ก็ยังเพิ่มการขาดทุน ทำให้การบริหารความเสี่ยงมีความสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ฟอเร็กซ์มากที่สุด  

นอกจากนี้ความไม่มั่นคงทางการเมือง วิกฤตเศรษฐกิจ และเหตุการณ์ระดับโลกที่ไม่คาดคิด ข่าวในแง่ลบ ข่าวอาชญากรรมระดับประเทศ สามารถนำไปสู่การเคลื่อนไหวของค่าเงินที่รวดเร็วและคาดเดาไม่ได้ 

การ เทรด forex เป็นตลาดการเงินแบบไดนามิกและเข้าถึงได้แม้คุณจะเป็นนักลงทุนทั่วไป ซึ่งให้โอกาสในการทำกำไร แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงโดยธรรมชาติเช่นกัน ดังนั้นเทรดเดอร์จะต้องพัฒนาความเข้าใจที่มั่นคง เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด ใช้กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยง และเพิ่มความรู้ให้แก่ตัวเองอย่างต่อเนื่อง ศึกษาเกี่ยวกับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและแนวโน้มของตลาด เพื่อทำความรู้จักกับความซับซ้อนของตลาดฟอเร็กซ์ให้ประสบความสำเร็จ 

ราคาน้ำมันดิบ Brent

องค์กรใดบ้าง ที่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบ Brent ข่าวสารที่นักลงทุนห้ามพลาด

                นักลงทุนหรือเทรดเดอร์ที่ลงทุนในหุ้นน้ำมัน คงไม่มีใครที่ไม่ติดตามราคาน้ำมันดิบ Brent เพราะเป็นหนึ่งในน้ำมันสำคัญของโลก แต่ไม่ใช่แค่ความนิยมของตลาด หรืออุปสงค์ของอุตสาหกรรมเท่านั้นที่ส่งผลต่อราคาน้ำมัน ยังมีองค์กรระดับโลกที่ทำให้น้ำมันดิบทุกชนิดเปลี่ยนแปลง หรือผันผวนอย่างไม่คาดคิดได้ ซึ่งองค์กรดังกล่าวมีทั้งองค์กรภาครัฐ และองค์กรภาคเอกชนที่มีบทบาทต่อเศรษฐกิจของโลก และบางครั้งเป้าหมายขององค์กรก็อาจจะไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของนักลงทุน

4 องค์กรที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบ Brent รู้จักไว้เข้าใจข่าวเศรษฐกิจ

                องค์กรที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ส่วนใหญ่เป็นองค์กรระดับโลกที่มีความเกี่ยวข้องกัน ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง เนื่องจากการค้าขายน้ำมันมีหลายปัจจัยด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาเกี่ยวข้อง ราคาน้ำมันดิบ Brent เองก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มหรือองค์กรเหล่านี้ด้วย

OPEC

OPEC ย่อมาจาก Organization of the Petroleum Exporting Country แปลตรงตัวก็คือ กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันนั่นเอง โดยสมาชิกหลักจะมีทั้งหมด 13 ประเทศ ซึ่งประเทศที่เริ่มต้นก่อตั้งด้วยกันตั้งแต่ปี 2503 มีอยู่ 5 ประเทศ คือ ซาอุดิอาระเบีย, อิรัก, อิหร่าน, คูเวต และเวเนซุเอลา ในปัจจุบันหากติดตามข่าวสารจะเห็นคำว่า OPEC+ คือ มีการรวมอีก 10 ประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก ทำให้รวมเป็นทั้งหมด 23 ประเทศ โดย 10 ประเทศที่เพิ่มเข้ามา แม้ไม่ใช่ประเทศผู้ผลิตน้ำมัน แต่เป็นผู้ถือหุ้นรายสำคัญที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ รวมถึงราคาน้ำมันดิบ Brent ด้วย

ICE (Intercontinental Exchange)

ICE หรือ Intercontinental Exchange คือ องค์กรทางด้านการเงินขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2000 ถือเป็นเจ้าของตลาดการเงินและสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ ใช้เทคโนโลยีระดับโลกเพื่อการแลกเปลี่ยน การจดทะเบียนสินทรัพย์ และรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับสินทรัพย์ด้วย ตลาดพลังงานก็เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้กลไกของ ICE รวมถึงราคาน้ำมันดิบต่าง ๆ ก็มีข้อมูลและดัชนีการแลกเปลี่ยนภายใต้องค์กรนี้ด้วย

กลุ่ม G7

กลุ่ม G7 หรือ Group of Seven คือกลุ่ม 7 ประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกัน ประกอบด้วย แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, ญี่ปุ่น, และสหรัฐอเมริกา ประเทศเหล่านี้ถือว่าเป็นประเทศที่มีความมั่งคั่งในสัดส่วนที่รวมกันแล้วมากกว่าครึ่งของทั่วโลก หากมีการเจรจาเรื่องการปรับราคาน้ำมัน ย่อมส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันดิบ Brent อย่างแน่นอน

World Petroleum Council

World Petroleum Council (WPC) หรือสภาปิโตรเลียมโลก เป็นองค์กรสำคัญโดยตรงต่อการเจรจาราคาน้ำมัน ถือเป็นองค์กร NGO เนื่องจากไม่ใช่องค์กรแสวงกำไร พยายามทำให้การเจรจาราคาน้ำมัน ก๊าซ และพลังงานต่าง ๆ เป็นไปอย่างโปร่งใสและเปิดเผย เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1933 และมีการจัดประชุมทุก ๆ 4 ปี และเปลี่ยนประเทศเจ้าภาพการประชุมทุก ๆ 2 ปีด้วย

จะเห็นได้ว่าราคาน้ำมันดิบ Brent สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทั้งจากประเทศผู้ผลิต อุปสงค์และอุปทานในตลาด ไปจนถึงความเคลื่อนไหวทางการเมือง การติดตามข่าวสารเศรษฐกิจจะทำให้เราเห็นชื่อองค์กรที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันอยู่บ่อย ๆ ทั้งองค์กรในประเทศและองค์กรต่างประเทศ เมื่อรู้จักและเข้าใจบทบาทของแต่ละองค์กรที่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมัน ก็จะทำให้เราเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของราคาได้มากขึ้นนั่นเอง

กลยุทธ์เบื้องต้นเพื่อลดความเสี่ยง สำหรับการลงทุนกองทุนรวมทองคำ

การลงทุนผ่านกองทุนรวมทองคำ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่นักลงทุนให้ความนิยม ด้วยการเก็งกำไรจากความผันผวน หรือการปรับตัวของราคาทองคำ โดยลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในทองคำ และปัจจัยที่ทำให้การลงทุนวิธีนี้ได้รับความนิยมคือ นักลงทุนไม่ต้องกังวลใจเรื่องการเก็บรักษาทองคำไว้กับตัวเอง อีกทั้งยังมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแล และวางแผนบริหารการลงทุนให้อย่างเหมาะสมด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนย่อมมีความเสี่ยงเสมอ ดังนั้นนักลงทุนจึงควรศึกษากลยุทธ์เพื่อลดความเสี่ยงร่วมด้วย

5 กลยุทธ์ลงทุนกองทุนรวมทองคำให้มีความปลอดภัย

กองทุนรวมทองคำเหมาะสำหรับนักลงทุนทุกระดับ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่มาก ผู้ที่มีเงินน้อยสามารถร่วมลงทุนได้ แต่มีข้อควรระวังคือ เนื่องจากกองทุนรวมทองจะอิงราคาทองคำจากตลาดโลก ซึ่งมีหน่วยเป็นดอลลาร์สหรัฐ เมื่อมีคำสั่งซื้อหรือขายเกิดขึ้นต้องระวังเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนให้ดี และที่สำคัญนักลงทุนควรศึกษากลยุทธ์เพื่อช่วยลดความเสี่ยงร่วมด้วย นั่นคือ

กองทุนรวมทองคำ
  1. จับตาจังหวะการเคลื่อนไหว

จริงอยู่ว่าการลงทุนกับกองทุนรวมนั้น คุณจะมีผู้จัดการกองทุนคอยบริหารจัดการแทน แต่ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการเทรดทองคำ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรมีติดตัว โดยเฉพาะการรู้และเข้าใจจังหวะการเคลื่อนไหวของราคา จะช่วยให้การตัดสินใจทำได้ดีและมีความแม่นยำมากขึ้น ด้วยเทคนิคเริ่มต้นง่าย ๆ เมื่อคุณเริ่มสังเกตเห็นราคาทองคำมีความผันผวนผิดปกติ คือมีความเคลื่อนไหวของราคาบ่อยครั้ง อีกทั้งยังมีการซื้อขายกันเป็นจำนวนมาก แสดงว่าตลาดทองคำเริ่มมีสภาพคล่อง ดังนั้นก่อนจะทำการซื้อหรือขายกองทุน ต้องรู้การเคลื่อนไหวของตลาดด้วย 

  1. ทำความรู้จักกับ GLD

SPDR Gold Shares (GLD) มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ เพราะนี่คือกองทุนรวมที่มีนโยบายในการลงทุนกับทองคำแท่งโดยตรง ผลตอบแทนของการลงทุนจึงขึ้นอยู่กับราคาทองคำในตลาดโลก โดยที่นักลงทุนไม่ต้องกังวลเรื่องการขนส่งทองคำ หรือความปลอดภัยในการเก็บรักษา เพราะทองคำแท่งจะถูกเก็บและดูแลอย่างปลอดภัยโดยสถาบันการเงินที่มีชื่อเสียงระดับโลก เพื่อให้การซื้อขายสามารถทำได้โดยสะดวก โดยกองทุน SPDR Gold Shares ได้ทำการจดทะเบียนที่ตลาดสำคัญ 4 ตลาดด้วยกัน คือ ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ตลาดหุ้นฮ่องกง ตลาดหุ้นสิงคโปร์ และตลาดหุ้นญี่ปุ่น 

ดังนั้นก่อนการตัดสินใจลงทุนกับกองทุนรวมทองคำ นักลงทุนจะต้องทำการศึกษาถึงผลิตภัณฑ์ให้ดีว่า มีการลงทุนผ่านตลาดหุ้นใด เพื่อการติดตามข่าวสารราคาทองคำของตลาดหุ้นนั้น ๆ และป้องกันความเข้าใจผิดพลาดที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง

  1. ติดตามการเคลื่อนไหวของเทรนด์

เทรนด์ หรือแนวโน้ม เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่นักลงทุนไม่ควรพลาด การสังเกตความเคลื่อนไหวของเทรนด์ในระยะสั้น จะช่วยให้นักลงทุนเข้าซื้อกองทุนได้ถูกจังหวะ แต่ความแม่นยำนี้นักลงทุนจะต้องทราบแนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาทองคำว่า มีแนวรับและแนวต้านอยู่ที่เท่าไหร่ และนำมาเปรียบเทียบกับเครื่องมือช่วยอย่างกราฟว่า มีการเคลื่อนไหวที่ตรงกันหรือไม่ และถ้าหากคุณยังไม่มีประสบการณ์ในวิเคราะห์มากพอ การเคลื่อนไหวของราคาเพียงช่วงสั้น ๆ ก็สามารถเข้าซื้อกองทุนได้ ไม่ต้องรอให้ราคาวิ่งทะลุเทรนด์ จนเกิดเป็นเทรนด์ใหม่ เพราะมีความเสี่ยงมากเกินไป

  1. ตั้งเป้ากำไรให้ชัดเจน

หลายครั้งที่นักลงทุนไม่สามารถมีวินัยกับเป้าหมายกำไรที่ตั้งไว้ได้ เนื่องจากความผันผวนอย่างน่าตื่นเต้นของราคาทองคำ ทำให้นักลงทุนยอมเสี่ยงที่จะไม่ออกคำสั่งซื้อหรือขาย ทำให้เกิดการขาดทุนในที่สุด ดังนั้นกลยุทธ์นี้จึงขึ้นอยู่กับวินัยของนักลงทุนเป็นสำคัญว่าจะสร้างกำไรได้หรือไม่ และอย่าลืมว่า ทุกครั้งที่ตั้งเป้าหมายกำไรขึ้นมา ความเสี่ยงก็จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เช่น ตั้งหมายกำไรไว้ที่ 2% ความเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เป็นต้น

  1. เลือกให้ชัดว่าเหมาะกับการลงทุนแบบใด

การลงทุนในกองทุนรวมทองคำ หรือสินทรัพย์ประเภทอื่น จะมีผลิตภัณฑ์ให้นักลงทุนได้เลือกตัดสินใจก่อนการลงทุน ว่าตัวเองเหมาะสำหรับการลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาว โดยการลงทุนระยะสั้นจะเน้นการเก็งกำไร โดยนักลงทุนจะต้องกำหนดจุดซื้อ-ขายอย่างชัดเจน รวมไปถึงกำหนดเป้าหมายกำไร-ขาดทุน และจะต้องมีวินัย เคารพในกติกาของตัวเอง ส่วนการลงทุนระยะยาว นักลงทุนสามารถใช้วิธีลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) คือ เฉลี่ยเงินเพื่อซื้อทองคำในทุก ๆ เดือน โดยที่แต่ละเดือนใช้เงินจำนวนที่เท่ากัน เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงเรื่องต้นทุน และเป็นการสร้างวินัยให้กับตัวเองได้ 

การลงทุนในกองทุนรวมทองคำไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยาก หากทุกกระบวนการมีการวางแผนก่อนการลงทุน รวมไปถึงการศึกษาแนวโน้มและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับราคาทองคำเป็นประจำ และเลือกลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับตัวเอง จะช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพ และเปิดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนได้ตามแผนการที่ได้กำหนดไว้

รับทำวีซ่า work permit

รับทำวีซ่า work permit สำหรับชาวต่างชาติ เพื่อเข้าเดินทางสู่ประเทศไทย 

รับทำวีซ่า work permit หรือการรับทำใบอนุญาตการทำงาน ซึ่งใบอนุญาตการทำงานเป็นสิ่งที่ชาวต่างชาติจำเป็นต้องมี ในการที่จะเดินทางเข้าสู่ราชอาณาจักรประเทศไทย ถ้าหากชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย แต่ไม่มีใบอนุญาตการทำงาน หรือมีใบอนุญาตการทำงานที่นอกเหนือจากที่ได้รับอนุญาต ชาวต่างชาตินั้นก็จะมีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว แล้วนายจ้างที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตการเข้าทำงาน ก็จะมีความผิดตามไปด้วยเช่นกัน  

รับทำวีซ่า work permit ครั้งแรกจะต้องมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง  

ในการเข้ามารับทำวีซ่า work permit ครั้งแรกจะต้องรู้ถึงขั้นตอนการขอใบอนุญาตการทำงาน โดยมีขั้นตอนการขอใบอนุญาตการทำงานดังนี้ ซึ่งท่านจะต้องมีการยื่นขอวีซ่า ประเภท Non-B ที่มีอายุการใช้งาน 90 วัน จากสถานกงสุลไทย ณ ต่างประเทศหรือเป็นสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในประเทศนั้น ๆ และเมื่อท่านได้วีซ่าแล้วก็ให้รีบดำเนินการขอสัญชาติทำงาน ที่มีอายุ 1 ปี ที่กรมทหารผ่านงานทั้งหมด 30 วัน และวันที่ได้รับใบอนุญาตการทำงาน ก็จะมีการให้ต่ออายุวีซ่า Non-B อายุ 1 ปีที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยจะต้องทำภายใน 30 วัน  

หลักเกณฑ์ในการขออนุญาตการทำงาน หรือการทำวีซ่า  

สำหรับชาวต่างชาติท่านใดที่ต้องการขออนุญาตการเข้าทำงานในประเทศไทย หรือต้องการที่จะรับทำวีซ่า work permit ท่านก็จะต้องรู้หลักเกณฑ์ในการขอใบอนุญาตการทำงานหรือการทำวีซ่าก่อน โดยทางเว็บไซต์ก็ได้มีการรวบรวมหลักเกณฑ์ในการทำวีซ่าเอาไว้ดังต่อไปนี้  

  • ทางบริษัทจะต้องมีทุนในการจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 2 ล้าน ต่อใบอนุญาตการทำงานชาวต่างชาติ 1 คน  
  • บริษัทที่คนต่างชาติต้องการที่จะเข้าทำงานจะต้องมีพนักงานคนไทยจำนวน 4 คนต่อชาวต่างชาติ 1 คน  
  • ชาวต่างชาติต้องได้รับเงินเดือนขั้นต่ำตามอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 50,000 บาทต่อเดือน ในกรณีที่มีสัญชาติในประเทศทวีปยุโรป และต้องมีรายได้ขั้นต่ำเดือนละ 45,000 บาท ในกรณีมีสัญชาติเกาหลี ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน สำหรับชาวต่างชาติที่มีสัญชาติในประเทศทวีปเอเชีย จะต้องได้รับรายได้ขั้นต่ำเดือนละ 35,000 บาท และชาวต่างชาติที่มีสัญชาติในประเทศในแอฟริกา กัมพูชา พม่า เวียดนาม และลาว จะต้องได้รับรายได้ขั้นต่ำเดือนละ 25,000 บาท  
  • ระยะเวลาในการขออนุมัติให้เข้ามาทำงานในไทย เจ้าหน้าที่จะต้องมีการพิจารณาอนุญาตให้ตามความจำเป็นของงาน หรือตามที่ขอ โดยไม่เกิน 2 ปีต่อ 1 ครั้ง  

สำหรับชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย แต่ไม่มีการรับทำวีซ่า work permit ก็จะถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย และถ้าหากมีนายจ้างหรือเจ้าของบริษัทที่มีการจ้างชาวต่างชาติในการทำงาน แต่ไม่มีวีซ่านายจ้างก็จะได้รับผิดเช่นกัน เพราะฉะนั้นชาวต่างชาติที่เข้ามาในราชอาณาจักรไทย จะต้องมีวีซ่า หรือใบอนุญาตการทำงาน หรือใบอนุญาตการเข้าสู่ประเทศนั่นเอง

บัตรเครดิต Lazada

ทำบัตรเครดิตสำหรับช้อปออนไลน์ธนาคารไหนดี

แน่นอนว่าในปัจจุบันผู้คนได้หันมาช้อปปิ้งออนไลน์กันมากขึ้น เพราะความสะดวกสบายเป็นเหตุผลหลักของการช้อปปิ้งประเภทนี้ สินค้าชิ้นใหญ่ๆ อย่างตู้เย็น เครื่องซักผ้า ที่หลายคนกังวลว่าจะขนย้ายลำบากก็ไม่ต้องกังวล เพราะการช้อปปิ้งออนไลน์นั้นจะส่งมาติดตั้งให้คุณถึงที่เลย แถมยังให้คุณสามารถเปรียบเทียบราคาก่อนทำการสั่งซื้อได้ด้วย ซึ่งมาเพิ่มความสะดวกในการชำระเงินพร้อมลุ้นรับโปรโมชั่นเด็ดๆ หากซื้อผ่านบัตรเครดิต วันนี้เรามาดูกันว่าทำบัตรเครดิตสำหรับช้อปออนไลน์ธนาคารไหนดี

KTC PLATINUM MASTERCARD

มั่นใจทุกครั้งที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ช้อปออนไลน์ คุ้มสุด กับ Mastercard รับส่วนลดสูงสุด 600 บาทเมื่อช้อปผ่านพันธมิตรออนไลน์ที่ร่วมรายการอย่าง Lazada ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปีตลอดชีพ ทุก 25 บาท ที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต รับ 1 คะแนน KTC FOREVER เพื่อแลกสินค้าและบริการ เลือกชำระสินค้าหรือบริการด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0% สูงสุด 10 เดือน

บัตรเครดิตกรุงศรี

บัตรเครดิตกรุงศรี ทุกประเภท สามารถเข้าร่วมรายการโปรโมชั่นนี้ได้หมดเลย เรียกว่าเว็บไซต์ที่ร่วมรายการเยอะมากๆ รวมทั้งมีโปรเด็ดๆ อย่าง  ใช้จ่ายครบทุก 1,500 บาท รับเครดิตเงินคืน 30 บาท สูงสุด 90 บาท/รายการ (คิดเป็นผลตอบแทนสูงสุด 2%) เลยทีเดียว

Citi Bank

รับคะแนนสะสมซิตี้ รีวอร์ด 10 เท่า เมื่อใช้บัตรเครดิตซิตี้แบงค์ใช้จ่ายใน Lazada และรับคะแนนสะสมซิตี้ รีวอร์ด 3 เท่า ทุกการใช้จ่ายในหมวดหมู่แฟชั่น และสุขภาพ พร้อมCiti Pay with Points เปลี่ยนคะแนนสะสมเป็นเครดิตเงินคืนสำหรับการใช้จ่ายบน ลาซาด้า ประเทศไทย แบ่งชำระ 0% สูงสุด 10 เดือน ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการ

ธนาคารกรุงเทพ

โปรโมชั่นของบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ ถือว่ามีความยืดหยุ่นสูง เพราะไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายยอดเป็นหลักพันก็ได้เครดิตเงินคืนเหมือนกัน เพราะจะเป็นการสะสมยอดใช้จ่ายทุกรายการรวมกัน ถ้าใช้จ่ายถึงยอดที่กำหนดในแต่ละหมวดก็จะได้เครดิตเงินคืนไปเลยจ้า เผื่อบางคนเน้นความถี่ แต่ไม่เน้นยอดใช้จ่ายสูงๆ ก็คือเหมาะมากเลย

UOB

รับคะแนนสะสม 10 บาท = 1 คะแนน สำหรับการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ในหมวดแฟชั่น หมวดร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้าทั่วโลก Lazada, Shopee, Joox, Spotify และ Netflix รับคะแนนสะสม 25 บาท 1 คะแนน สำหรับยอดใช้จ่ายจากหมวดอื่นๆ และแลกรับเครดิตเงินคืน 15% แลกคะแนนสะสมเท่ากับยอดใช้จ่ายที่ Central, Robinson และอื่นๆ อีกมาย 

เห็นโปรโมชั่นแบบนี้แล้วก็อย่ารอช้า รีบไปเปิดบัตรเครดิต Lazada มาช้อปสินค้าให้กระจายไปเลย แถมยังได้เครดิตเงินคืน ปังมากๆ ตามมด้วยดีลเด็ดๆ อีกมากมายที่จะแจกส่วนลดหากคุณเป็นลูกค้าบัตรเครดิตนั่นเอง 

รับ ทำ backlink คุณภาพ

หาบริการรับ ทำ backlink คุณภาพ

Backlink นั้นเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น เนื่องจากในยุคปัจจุบันนี้มีจำนวนของการทำการตลาดออนไลนฺมากยิ่งขึ้น หลังจากผ่านวิกฤตโควิด 19 แต่หลายคนหรือหลายองค์กรก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าสามารถหาบริการรับ ทำ backlink คุณภาพ ได้จากไหน โดยบทความนี้ทางเราจะมาแนะนำ แหล่งการหาบริการรับ ทำ backlink คุณภาพ ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย มีคุณภาพและให้เรทราคาที่สมเหตุสมผลอีกด้วย

แหล่งหาบริการรับ ทำ backlink คุณภาพ

  1. ค้นหาบนอินเทอร์เน็ต 

เนื่องจากบริษัทรับ ทำ backlink คุณภาพ นี้ส่วนใหญ่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการโฆษณาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แล้วทำไมพวกเขาจึงไม่เลือกใช้ช่องทางที่พวกเขาถนัดล่ะ ดังนั้นเมื่อคุณต้องการบริการรับ ทำ backlink คุณภาพ ก็สามารถหาได้ง่ายผ่านอินเทอร์เน็ต เนื่องจากเป็นแหล่งตลาดที่ใหญ่

โดยนี่เป็นแหล่งที่ใหญ่และดีที่สุดที่จะหาผู้รับ ทำ backlink คุณภาพ 

  1. ติดต่อสอบถามจากบริษัทรับทำ SEO 

การทำการตลาดออนไลน์นั้นจำเป็นต้องทำคววบคู่กันไปทั้งานทางด้าน SEO และรับ ทำ backlink คุณภาพ ดังนั้นคุณจึงมั่นใจได้ว่าจะได้บริการรับ ทำ backlink คุณภาพจากบริษัทที่ทำธุรกิจออนไลน์ หรือบริษัทรับทำ SEO อย่างแน่นอน

  1. สอบถามจากผู้ที่ทำงานทางด้านไอที

โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ทำงานทางด้านไอทีนั้นจะมีความรู้ทางด้านการรับ ทำ backlink คุณภาพ มากกว่าบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้ทำงานสายไอที ดังนั้นเมื่อคุณไม่รู้ว่าจะสอบถามจากใคร งั้นลองเริ่มจากการถามเพื่อนที่ทำงานทางด้านไอทีในออฟฟิศก่อนเลย และมั่นใจเลยว่าส่วนใหญ่นั้นมีความรู้ว่าจะติดต่อใครเพื่อขอรับ ทำ backlink คุณภาพ 

หรือไม่เขาอาจแนะนำบุคคลที่รู้จักมักคุ้นทางด้านนี้ให้เราติดต่อไปอีกที เพราะคนที่ทำงานทางด้านไอที ต้องมีคนที่ทำงานไอทีเหมือนกัน และเป็นไปได้สูงมากว่าพวกเขาจะรู้จักผู้คนในแวดวงที่รับ ทำ backlink คุณภาพ นั่นเอง

ยังมีอีกหลากหลายช่องทางที่ไม่ได้พูดถึง ที่เป็นแหล่งหาผู้รับ ทำ backlink คุณภาพ และเพื่อการหาผู้ที่รับ ทำ backlink คุณภาพ นั้นจำเป็นต้องพิจารณาหลายอย่างก่อนตกลงว่าจะทำธุรกิจด้วยกัน ดังนั้นคุณผู้ที่เป้นลูกค้าก็ต้องมีความรู้ประมาณนึง เพื่อที่จะสามารถตัดสินและพิจารณาได้ว่า ใครมีความรู้จริงๆทางด้านนี้ เพื่อตกลงที่ว่าจ้างการรับ ทำ backlink คุณภาพ ต่อไป

รู้หรือไม่ เอกสารที่ต้องให้กับบริษัท รับ ขายฝาก บ้าน ช่วยทำเรื่องให้ ใช้อะไรบ้าง

หลายคนอาจจะเคยได้ยิน และได้ทราบกันแล้วว่า การขายฝากบ้านนั้นคืออะไร และต้องทำอย่างไรบ้าง อีกทั้งยังรู้ด้วยว่าปัจจุบันนี้การดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ เกี่ยวกับการขายฝากไม่จำเป็นต้องทำเองอีกแล้ว เพราะสามารถใช้บริการบริษัท รับ ขายฝาก บ้านให้ช่วยดำเนินการให้ได้ โดยในการให้บริการดำเนินให้ ก็จำเป็นที่จะต้องมีการจัดเตรียมเอกสารให้กับบริษัท แล้วเอกสารที่ต้องเตรียมให้กับบริษัทรับขายฝากบ้านมีอะไรบ้าง มาดูกัน 

เอกสารสำคัญที่ต้องให้บริษัท รับ ขายฝาก บ้าน เพื่อดำเนินเรื่องให้ มีอะไรบ้าง 

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า การขายฝากบ้านผ่านบริษัท รับ ขายฝาก บ้าน ก็จำเป็นที่จะต้องจัดเตรียมเอกสารให้กับบริษัทด้วย เพราะบริษัทจะนำเอกสารทั้งหมด และเอกสารอื่น ๆ ไปดำเนินการให้ในขั้นตอนต่อไป สำหรับเอกสารที่ใช้ก็แบ่งได้ 2 ประเภท คือ เอกสารที่ใช้สำหรับบุคคลธรรมดา และเอกสารสำหรับนิติบุคคล โดยจะใช้เอกสารไม่เหมือนกัน ซึ่งรายละเอียดดังนี้ 

เอกสารสำหรับบุคคลธรรมดา เอกสารสำหรับนิติบุคคล 
1. โฉนดที่ดินทุกหน้าที่ต้องการขายฝาก   2. ทะเบียนบ้านหลังที่ต้องการขายฝาก  3. เอกสารที่แสดงสิ่งปลูกสร้าง หรือเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง  4. หนังสือทด.13 หรือสัญญาขายที่ดิน   5. หนังสือสัญญาให้ที่ดิน  6. ใบอนุญาตในการปลูกสร้าง  7. บัตรประชาชนตัวจริง ในกรณีที่มีการเปลี่ยนชื่อ หรือเปลี่ยนสกุล หรือเปลี่ยนทั้งชื่อ-นามสกุล ก็จำเป็นที่จะต้องนำเอกสารการเปลี่ยนมาด้วย  8. ทะเบียนบ้านหลังที่มีชื่ออยู่ปัจจุบัน ในกรณีที่มีการเปลี่ยนบ้านเลขที่ ก็จำเป็นที่จะต้องนำเอกสารการเปลี่ยนมายื่นด้วย  9. กรณีเจ้าของกรรมสิทธิ์สมรส จะต้องแนบใบทะเบียนสมรส แต่หากว่ามีการหย่าร้างเกิดขึ้น ให้ทำการเตรียมใบหย่าและใบแนบท้ายใบหย่ามาให้ด้วย  10. กรณีมอบอำนาจในการฝากขาย ให้แนบหนังสือมอบอำนาจ และเอกสารส่วนตัวของผู้ที่รับมอบอำนาจมาด้วย 1. โฉนดที่ดินทุกหน้าที่ต้องการขายฝาก   2. ทะเบียนบ้านหลังที่ต้องการขายฝาก  3. เอกสารที่แสดงสิ่งปลูกสร้าง หรือเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง  4. หนังสือทด.13 หรือสัญญาขายที่ดิน   5. หนังสือสัญญาให้ที่ดิน  6. ใบอนุญาตในการปลูกสร้าง  7. บัตรประชาชน ของผู้ที่มีอำนาจในการลงนาม  8. ทะเบียนบ้าน ของผู้ที่มีอำนาจในการลงนาม  9. หนังสือรับรองบริษัท   10. รายนามของผู้ถือหุ้นทั้งหมด  11. หนังสือบริคณห์สนธิ 

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ก็เป็นเอกสารที่ต้องใช้ และมอบให้กับบริษัท รับ ขายฝาก บ้านในการใช้ดำเนินการในขั้นตอนต่อไปของการขายฝากบ้าน โดยจะเห็นได้ว่าเอกสารของบุคคลธรรมดา และเอกสารของนิติบุคคล มีความแตกต่างกันอยู่ ดังนั้นหากว่าต้องการขายฝากบ้าน ก็ต้องดูรายละเอียดของเอกสารที่ต้องใช้ให้ดีก่อน เพื่อทำให้การดำเนินเรื่องขายฝากบ้านสามารถเป็นไปได้ด้วยความรวดเร็วนั่นเอง